




......ถ้ามีใครถามข้าพเจ้าว่า สิ่งที่ชอบทำและยินดีที่จะทำมากที่สุดในชีวิต คืออะไร
...ตอนนี้ตอบได้เลยว่าคือ อ่านนิยาย โดยเฉพาะนิยายรักโรแมนติก
ถ้าว่างจากงานจำเป็นทุกๆอย่างแล้วสิ่งแรกที่นึกถึงคือหนังสือนวนิยาย
รองจากอ่านนิยายก็คงจะเป็นดูหนัง(หนังจีนกำลังภายใน แบบยุคเอี้ยก้วย เซียวเล่งนึ่ง ประมาณนั้น)
...อ้อสิ่งที่ทำในยามว่าอีกอย่างคือปลูกต้นไม้
นวนิยายที่ชอบอ่าน
...ตอนนี้ตอบได้เลยว่าคือ อ่านนิยาย โดยเฉพาะนิยายรักโรแมนติก
ถ้าว่างจากงานจำเป็นทุกๆอย่างแล้วสิ่งแรกที่นึกถึงคือหนังสือนวนิยาย
รองจากอ่านนิยายก็คงจะเป็นดูหนัง(หนังจีนกำลังภายใน แบบยุคเอี้ยก้วย เซียวเล่งนึ่ง ประมาณนั้น)
...อ้อสิ่งที่ทำในยามว่าอีกอย่างคือปลูกต้นไม้
นวนิยายที่ชอบอ่าน
-มนต์จันทรา
-ฟ้ากระจ่างดาว
-มายาตวัน
-เสราดารัล
-สูตรเสน่หา
-ลางลิขิต
-ตามรักคืนใจ
-ดั่งไฟใต้น้ำ
-แสงดาวฝั่งทะเล
ฯลฯ
หนังที่ชอบดู
-มนต์รักในสายฝน
-Autumn in my heat
-แดจังกึม จอมนางแห่งวังหลวง
-Harry Potter
-Heart's worr
ฯลฯ
วรรณคดีวิจารณ์

ทวิลักษณ์ของท้าวสามนต์ในวรรณคดีเรื่องสังข์ทอง
บทนำ
วรรณคดีสะท้อนความจริงของชีวิต แนวความคิดที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการวรรณคดีวรรณกรรมไทย รศ. รื่นฤทัย สัจจพันธ์ ได้เสนอมุมมองความคิดอันเป็นประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับวรรณคดีที่สะท้อนความจริงของชีวิตไว้ใน หนังสือ สีสรรพ์วรรณศิลป์ ไว้ว่า “วรรณคดีจำลองความจริงแห่งชีวิตในแง่มุมต่างๆ แม้บางมุมจะเป็นมุมอ่อนแอทางอารมณ์หรือความอ่อนด้อยของมนุษย์ แต่ก็เป็นความจริงที่เราไม่อาจปฏิเสธได้เลย” จะเห็นได้ว่า หากวรรณคดีคือเรื่องราวที่สร้างขึ้นเพื่อสะท้อนความเป็นจริงของชีวิต ตัวละครในวรรณคดีก็เป็นแบบจำลองของมนุษย์ที่สะท้อนถึงธรรมชาติและตัวตนของมนุษย์นั่นเอง
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้าใจยาก และมีธรรมชาติอันซับซ้อน หากมองโดยภาพรวมแล้วเราสามารถแบ่งแยกธรรมชาติของมนุษย์ที่หมายถึงลักษณะตัวตน ได้สองด้านคือด้านบวกและด้านลบ เป็นการแบ่งแยกลักษณะตัวตนโดยใช้แนวคิดแบบทวิลักษณ์ หรือคู่ตรงข้าม คำว่า ทวิลักษณ์ เป็นคำที่มาจากภาษาบาลีสันสกฤต เป็นการรวมเอา ทวิ ที่แปลว่า สอง บวกกับ ลักษณ์ ซึ่งแปลว่า ลักษณะ , สมบัติเฉพาะตัว ทวิลักษณ์จึงหมายถึง ลักษณะทั้งสองด้าน
การวิเคราะห์วิจารณ์ตัวละครในวรรณคดีไทยที่ผ่านมามีนักวิชาการบางท่านอธิบายแนวความคิดเกี่ยวกับ ทวิลักษณ์ (dualism, duality ) อาทิ สมเกียรติ ตั้งนโม กล่าวถึงแนวคิดแบบทวิลักษณ์โดยอธิบายอ้างอิงปรัชญาความคิดของอลิสโตเติล ไว้ในบทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เรื่องแนวทางการวิเคราะห์ภาพยนตร์แนวคิดคู่ตรงข้ามกับความเข้าใจภาพยนตร์ ดังนี้ “เกี่ยวกับความตรงข้าม (opposition) หรือทวิลักษณ์ (duality) เป็นพื้นฐานเบื้องต้นในระบบของภาษาและในความคิดทางปรัชญาตะวันตกทั้งหมด อริสโตเติลได้แสดงสิ่งนี้เมื่อเขากล่าวว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างคือ A หรือไม่ใช่ A อย่างใดอย่างหนึ่ง เราสามารถสังเกตความตรงข้ามกันโดยเฉพาะระหว่างตัวละครทั้งหลายได้ ระหว่างอัตลักษณ์ของมนุษย์ที่ผิดแผก ระหว่างฉากและสีสันที่แตกต่าง และอื่นๆ ดังนั้นสิ่งเหล่านี้จึงเกาะติดหรือสัมพันธ์เชื่อมโยงกับการนำเสนอความตรงข้ามที่เป็นแกนกลาง ระหว่างระบบคุณค่าสองอย่างที่แตกต่างกัน”
ทวิลักษณ์ของตัวละครในวรรณคดี หมายถึงลักษณะตัวละครที่แสดงออกในสองด้านคือลักษะเชิงบวกและลักษณะเชิงลบ โดยหมายรวมทั้งรูปลักษณ์ภายนอก และลักษณะนิสัยของตัวละคร ที่มีทั้งด้านดีและด้านร้าย วรรณคดีไทยหลายๆเรื่องสร้างตัวละครเอกให้มีลักษณะพฤติกรรมเพียงด้านเดียวหรือที่เรียกว่าตัวละครชนิดแบน (Flat character) ส่วนตัวละครอันมีหลากหลายลักษณะที่ขัดแย้งอยู่ในตัวบุคคลคือมีทั้งด้านดีและด้านไม่ดีจะเป็นตัวละครฝ่ายปรปักษ์ ซึ่งคอยทำร้ายและขัดขวางการกระทำของตัวเอก ในวรรณคดีเรื่อง สังข์ทอง บทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ท้าวสามนต์ เป็นตัวละครสำคัญตัวหนึ่งที่ช่วยสร้างสีสันให้วรรณคดีเรื่องสังข์ทอง ทั้งยังเป็นปรปักษ์หรือฝ่ายตรงข้ามกับตัวเอกของเรื่องและทำให้เจ้าเงาะประสบกับความเดือดร้อน แต่ภายหลังเมื่อได้ได้รับความช่วยเหลือและเห็นรูปทองแท้จริงของพระสังข์จึงกลับกลายมาเป็นฝ่ายเดียวกัน พฤติกรรมหลายๆอย่างของท้าวสามนต์แสดงให้เห็นถึงลักษณะนิสัยอันขัดแย้งอยู่ในตัวคือมีทั้งด้านดีและด้านไม่ดี นอกจากนี้ท้าวสามนต์ยังเป็นตัวละครกษัตริย์ที่มีภาพลักษณ์อันแตกต่างจากความเป็นกษัตริย์ในอุดมคติในวรรณคดีไทยเรื่องอื่นๆ
การศึกษาวิเคราะห์ทวิลักษณ์ของท้าวสามนต์ในวรรณคดีเรื่องสังข์ทอง เป็นการศึกษาวิเคราะห์ลักษณะในเชิงบวกและเชิงลบที่หล่อหลอมเป็นตัวบุคคล โดยหมายรวมลักษณะภายนอกหรือลักษณะทางกาย เช่น เพศ วัย รูปร่าง หน้าตา การแต่งกาย และฐานะทางสังคม เป็นต้น กับลักษณะภายในหรือลักษณะทางพฤติกรรม เช่น นิสัย ใจคอ คุณธรรม มุมมองความคิด เป็นต้น การศึกษาวิเคราะห์ในแนวทวิลักษณ์จะทำให้เราเข้าใจในตัวตน ความคิด และการกระทำของตัวละคร สาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์สำคัญๆในเรื่อง จุดเชื่อมโยงที่ทำให้เนื้อเรื่องดำเนินเข้าสู่วิกฤติหรือจุดไคลแมกซ์ (Climax) ของเรื่อง ที่สำคัญจะช่วยให้เราเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์มากขึ้น
ภูมิหลังของตัวละคร
สังข์ทอง เป็นบทละครนอก ๑ ใน ๕ เรื่องที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิสหล้านภาลัย ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้น และเป็นเรื่องเดียวที่ทรงพระราชนิพนธ์ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง โดยทรงแปลงมาจากสุวรรณสังข์ชาดก ใน ปัญญาสชาดก สังข์ทอง ถือเป็นวรรณคดีชั้นเยี่ยมเล่มหนึ่งของไทย ที่มีความดีเด่นในด้านเนื้อหาสนุกสนาน มีฉากเหตุการณ์ทั้งในมืองมมนุษย์ เมืองยักษ์ เมืองบาดาล มีตัวละครอันหลากหลายที่ผู้อ่านหลายยุคสมัยต่างชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็น มนุษย์ ยักษ์ พระอินทร์ หรือแม้แต่เงาะป่าบ้าใบ้
ท้าวสามนต์ เป็นตัวละครในเรื่องสังข์ทองที่มาปรากฏในช่วงกลางๆของเรื่อง เป็นตัวละครที่เชื่อมโยงให้ตัวเอกฝ่ายชายและตัวเอกฝ่ายหญิงก็คือเจ้าเงาะกับนางรจนามาพบกัน (บวกกับอำนาจของพระอินทร์) ท้าวสามนต์เป็นกษัตริย์ครองเมืองท้าวสามนต์ (เชื่อกันว่าเป็นเมืองที่มีอยู่จริง ภาคเหนือเชื่อว่าชื่อเมืองทุ่งยั้ง อยู่ในเขตุจังหวัดอุตรดิตถ์ ส่วนภาคใต้เชื่อกันว่าเป็นเมืองตะกั่วป่า) มีมเหสีชื่อ นางมณฑา มี ธิดา ๗ พระองค์ พระนามต่างกันไป ธิดาองค์สุดท้องชื่อ รจนา ซึ่งก็คือตัวเอกฝ่ายหญิงของเรื่องนั่นเอง ท้าวสามนต์คิดจะให้พระธิดาทั้ง ๗ องค์ได้อภิเษกสมรส จึงมีรับสั่งให้ประกาศแก่เจ้าผู้ครองนครต่าง ๆ ให้ส่งโอรสมาให้พระธิดาเลือก พระธิดาทั้ง ๖ องค์ก็เลือกได้เจ้าชายที่เหมาะสม แต่นางรจนาไม่ยอมเลือกเจ้าชายองค์ใด ท้าวสามนต์ทรงกริ้วมากจึงประชดโดยให้อำมาตย์ไปประกาศให้ชายทุกคนในเมืองให้เข้ามาในวังให้พระราชธิดาเลือก พระสังข์ทองในรูปเงาะป่า ก็ถูกเกณฑ์เข้ามาด้วย เมื่อนางรจนาออกมาเลือกคู่ บุญบันดาลให้เห็นรูปทองของพระสังข์ทองแทนที่จะเป็นเงาะป่า นางจึงเลือกเงาะป่า ท้าวสามนต์ก็กริ้วอีกจึงขับไล่นางรจนาออกไปอยู่นอกเมือง
ท้าวสามนต์แค้นเคืองเงาะป่าคิดจะกำจัดจึงออกคำสั่งให้เขยทั้งหกและเงาะป่าไปหาเนื้อมาคนละตัว ใครหามาไม่ได้จะถูกประหารชีวิต เงาะป่าเข้าไปในป่าถอดรูปเงาะออกแล้วร่ายมนต์เรียกเนื้อ เนื้อทั้งหลายก็มาอออยู่ที่พระสังข์ทอง หกเขยหาเนื้อทั้งวันก็ไม่ได้จนกระทั่งมาพบพระสังข์ทอง ซึ่งหกเขยคิดว่าเป็นเทวดา หกเขยขอเนื้อจากพระสังข์ทอง พระสังข์ทองให้โดยขอตัดใบหูคนละหน่อย หกเขยก็ยอม ทั้งหมดก็นำเนื้อไปให้ท้าวสามนต์
ท้าวสามนต์ร้ายเงาะป่าไม่ได้ก็แค้นใจจึงมีคำสั่งให้เขยทุกคนหาปลาไปถวาย พระสังข์ทองก็ถอดรูปเงาะป่าแล้วร่ายมนต์เรียกปลา ปลาก็มาออคับคั่งอยู่ที่พระสังข์ทอง หกเขยหาปลาไม่ได้ทั้งวันและเมื่อพบปลามาอออยู่ที่พระสังข์ทองก็กราบไหว้อ้อนวอนขอปลา พระสังข์ทองยกให้โดยขอตัดปลายจมูกหกเขยคนละหน่อย แล้วหกเขยกับเงาะป่านำปลาไปถวายท้าวสามนต์
ท้าวสามนต์แค้นใจที่ทำอันตรายเงาะป่าไม่ได้ก็เฝ้าคิดหาวิธีการอื่นที่จะกำจัดเงาะป่า จนพระอินทร์ต้องลงมาช่วยพระสังข์โดยยกทัพมาล้อมเมืองท้าวสามนต์แล้วท้าตีคลี
ท้าวสามนต์ตกใจแทบสิ้นสติจึงให้หกเขยและบรรดาเสนาอำมาตย์ช่วยกันหาผู้อาสาเหาะไปตีคลี แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะพระอินทร์ได้ ท้าวสามนต์จึงให้ป่าวประกาศว่าผู้ใดที่สามารถเหาะไปตีคลีกับพระอินทร์บนอากาศได้จะยกราชสมบัติให้ แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดมาอาสา นางมณฑาเทวีจึงแอบไปหานางรจนา และขอให้นางรจนาอ้อนวอนให้เงาะป่าช่วย เงาะป่าสงสารทั้งสองนางจึงรับปาก และในวันที่เจ็ดเงาะป่าก็ถอดรูปเป็นพระสังข์ทองใส่เกือกแก้วเหาะขึ้นไปตีคลีกับพระอินทร์จนชนะ พระอินทร์ก็กลับไปบนสวรรค์ ท้าวสามนต์ดีพระทัยมากได้ขอโทษพระสังข์ทองและยกราชสมบัติให้ตามสัญญา
ชื่อ ท้าวสามนต์ ในเรื่องสังข์ทอง ดร. รื่นฤทัย สัจจพันธุ์ ได้อธิบายที่มาของคำไว้ในหนังสือ สังข์ทองไว้ว่า แต่เดิมเคยใช้คำว่าท้าวสามล “แต่เดิมเคยใช้คำว่าท้าวสามล แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงคำเนื่องจากนักวิชาการวรรณคดีต่างหาความหมายของคำนี้ไม่ได้ เป็นเหตุผลหนึ่ง อีกเหตุผลหนึ่งเชื่อว่าน่าจะมาจากคำว่า “สามนตราช” ฉะนั้น “ท้าวสามนต์” จึงมาจากคำเต็มว่า “สามนตราช” (Feudalism) คือเจ้าผู้ครองแคว้นใกล้เคียง, เจ้าเมืองประเทศราชหรือเจ้าเมืองเอกประเทศราช เป็นเจ้าเมืองเล็ก ในจำนวนหลายร้อยเมืองที่มีพระมหาจักรพรรดิ (king of king) เป็นเจ้าประเทศราชเหล่านี้ ซึ่ง “สามนตราช” นี้ ก็มีปรากฏในเอกสารที่บันทึกไว้อย่างน้อย ๒ เล่ม คือ หนังสือกบฏไพร่ สมัยอยุธยา และหนังสือปฐมสมโพธิกถา พระนิพนธ์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส หรือทศชาติชาดก ในเรื่องพระเตมีย์ ”




บทนำ
วรรณคดีสะท้อนความจริงของชีวิต แนวความคิดที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการวรรณคดีวรรณกรรมไทย รศ. รื่นฤทัย สัจจพันธ์ ได้เสนอมุมมองความคิดอันเป็นประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับวรรณคดีที่สะท้อนความจริงของชีวิตไว้ใน หนังสือ สีสรรพ์วรรณศิลป์ ไว้ว่า “วรรณคดีจำลองความจริงแห่งชีวิตในแง่มุมต่างๆ แม้บางมุมจะเป็นมุมอ่อนแอทางอารมณ์หรือความอ่อนด้อยของมนุษย์ แต่ก็เป็นความจริงที่เราไม่อาจปฏิเสธได้เลย” จะเห็นได้ว่า หากวรรณคดีคือเรื่องราวที่สร้างขึ้นเพื่อสะท้อนความเป็นจริงของชีวิต ตัวละครในวรรณคดีก็เป็นแบบจำลองของมนุษย์ที่สะท้อนถึงธรรมชาติและตัวตนของมนุษย์นั่นเอง
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้าใจยาก และมีธรรมชาติอันซับซ้อน หากมองโดยภาพรวมแล้วเราสามารถแบ่งแยกธรรมชาติของมนุษย์ที่หมายถึงลักษณะตัวตน ได้สองด้านคือด้านบวกและด้านลบ เป็นการแบ่งแยกลักษณะตัวตนโดยใช้แนวคิดแบบทวิลักษณ์ หรือคู่ตรงข้าม คำว่า ทวิลักษณ์ เป็นคำที่มาจากภาษาบาลีสันสกฤต เป็นการรวมเอา ทวิ ที่แปลว่า สอง บวกกับ ลักษณ์ ซึ่งแปลว่า ลักษณะ , สมบัติเฉพาะตัว ทวิลักษณ์จึงหมายถึง ลักษณะทั้งสองด้าน
การวิเคราะห์วิจารณ์ตัวละครในวรรณคดีไทยที่ผ่านมามีนักวิชาการบางท่านอธิบายแนวความคิดเกี่ยวกับ ทวิลักษณ์ (dualism, duality ) อาทิ สมเกียรติ ตั้งนโม กล่าวถึงแนวคิดแบบทวิลักษณ์โดยอธิบายอ้างอิงปรัชญาความคิดของอลิสโตเติล ไว้ในบทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เรื่องแนวทางการวิเคราะห์ภาพยนตร์แนวคิดคู่ตรงข้ามกับความเข้าใจภาพยนตร์ ดังนี้ “เกี่ยวกับความตรงข้าม (opposition) หรือทวิลักษณ์ (duality) เป็นพื้นฐานเบื้องต้นในระบบของภาษาและในความคิดทางปรัชญาตะวันตกทั้งหมด อริสโตเติลได้แสดงสิ่งนี้เมื่อเขากล่าวว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างคือ A หรือไม่ใช่ A อย่างใดอย่างหนึ่ง เราสามารถสังเกตความตรงข้ามกันโดยเฉพาะระหว่างตัวละครทั้งหลายได้ ระหว่างอัตลักษณ์ของมนุษย์ที่ผิดแผก ระหว่างฉากและสีสันที่แตกต่าง และอื่นๆ ดังนั้นสิ่งเหล่านี้จึงเกาะติดหรือสัมพันธ์เชื่อมโยงกับการนำเสนอความตรงข้ามที่เป็นแกนกลาง ระหว่างระบบคุณค่าสองอย่างที่แตกต่างกัน”
ทวิลักษณ์ของตัวละครในวรรณคดี หมายถึงลักษณะตัวละครที่แสดงออกในสองด้านคือลักษะเชิงบวกและลักษณะเชิงลบ โดยหมายรวมทั้งรูปลักษณ์ภายนอก และลักษณะนิสัยของตัวละคร ที่มีทั้งด้านดีและด้านร้าย วรรณคดีไทยหลายๆเรื่องสร้างตัวละครเอกให้มีลักษณะพฤติกรรมเพียงด้านเดียวหรือที่เรียกว่าตัวละครชนิดแบน (Flat character) ส่วนตัวละครอันมีหลากหลายลักษณะที่ขัดแย้งอยู่ในตัวบุคคลคือมีทั้งด้านดีและด้านไม่ดีจะเป็นตัวละครฝ่ายปรปักษ์ ซึ่งคอยทำร้ายและขัดขวางการกระทำของตัวเอก ในวรรณคดีเรื่อง สังข์ทอง บทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ท้าวสามนต์ เป็นตัวละครสำคัญตัวหนึ่งที่ช่วยสร้างสีสันให้วรรณคดีเรื่องสังข์ทอง ทั้งยังเป็นปรปักษ์หรือฝ่ายตรงข้ามกับตัวเอกของเรื่องและทำให้เจ้าเงาะประสบกับความเดือดร้อน แต่ภายหลังเมื่อได้ได้รับความช่วยเหลือและเห็นรูปทองแท้จริงของพระสังข์จึงกลับกลายมาเป็นฝ่ายเดียวกัน พฤติกรรมหลายๆอย่างของท้าวสามนต์แสดงให้เห็นถึงลักษณะนิสัยอันขัดแย้งอยู่ในตัวคือมีทั้งด้านดีและด้านไม่ดี นอกจากนี้ท้าวสามนต์ยังเป็นตัวละครกษัตริย์ที่มีภาพลักษณ์อันแตกต่างจากความเป็นกษัตริย์ในอุดมคติในวรรณคดีไทยเรื่องอื่นๆ
การศึกษาวิเคราะห์ทวิลักษณ์ของท้าวสามนต์ในวรรณคดีเรื่องสังข์ทอง เป็นการศึกษาวิเคราะห์ลักษณะในเชิงบวกและเชิงลบที่หล่อหลอมเป็นตัวบุคคล โดยหมายรวมลักษณะภายนอกหรือลักษณะทางกาย เช่น เพศ วัย รูปร่าง หน้าตา การแต่งกาย และฐานะทางสังคม เป็นต้น กับลักษณะภายในหรือลักษณะทางพฤติกรรม เช่น นิสัย ใจคอ คุณธรรม มุมมองความคิด เป็นต้น การศึกษาวิเคราะห์ในแนวทวิลักษณ์จะทำให้เราเข้าใจในตัวตน ความคิด และการกระทำของตัวละคร สาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์สำคัญๆในเรื่อง จุดเชื่อมโยงที่ทำให้เนื้อเรื่องดำเนินเข้าสู่วิกฤติหรือจุดไคลแมกซ์ (Climax) ของเรื่อง ที่สำคัญจะช่วยให้เราเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์มากขึ้น
ภูมิหลังของตัวละคร
สังข์ทอง เป็นบทละครนอก ๑ ใน ๕ เรื่องที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิสหล้านภาลัย ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้น และเป็นเรื่องเดียวที่ทรงพระราชนิพนธ์ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง โดยทรงแปลงมาจากสุวรรณสังข์ชาดก ใน ปัญญาสชาดก สังข์ทอง ถือเป็นวรรณคดีชั้นเยี่ยมเล่มหนึ่งของไทย ที่มีความดีเด่นในด้านเนื้อหาสนุกสนาน มีฉากเหตุการณ์ทั้งในมืองมมนุษย์ เมืองยักษ์ เมืองบาดาล มีตัวละครอันหลากหลายที่ผู้อ่านหลายยุคสมัยต่างชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็น มนุษย์ ยักษ์ พระอินทร์ หรือแม้แต่เงาะป่าบ้าใบ้
ท้าวสามนต์ เป็นตัวละครในเรื่องสังข์ทองที่มาปรากฏในช่วงกลางๆของเรื่อง เป็นตัวละครที่เชื่อมโยงให้ตัวเอกฝ่ายชายและตัวเอกฝ่ายหญิงก็คือเจ้าเงาะกับนางรจนามาพบกัน (บวกกับอำนาจของพระอินทร์) ท้าวสามนต์เป็นกษัตริย์ครองเมืองท้าวสามนต์ (เชื่อกันว่าเป็นเมืองที่มีอยู่จริง ภาคเหนือเชื่อว่าชื่อเมืองทุ่งยั้ง อยู่ในเขตุจังหวัดอุตรดิตถ์ ส่วนภาคใต้เชื่อกันว่าเป็นเมืองตะกั่วป่า) มีมเหสีชื่อ นางมณฑา มี ธิดา ๗ พระองค์ พระนามต่างกันไป ธิดาองค์สุดท้องชื่อ รจนา ซึ่งก็คือตัวเอกฝ่ายหญิงของเรื่องนั่นเอง ท้าวสามนต์คิดจะให้พระธิดาทั้ง ๗ องค์ได้อภิเษกสมรส จึงมีรับสั่งให้ประกาศแก่เจ้าผู้ครองนครต่าง ๆ ให้ส่งโอรสมาให้พระธิดาเลือก พระธิดาทั้ง ๖ องค์ก็เลือกได้เจ้าชายที่เหมาะสม แต่นางรจนาไม่ยอมเลือกเจ้าชายองค์ใด ท้าวสามนต์ทรงกริ้วมากจึงประชดโดยให้อำมาตย์ไปประกาศให้ชายทุกคนในเมืองให้เข้ามาในวังให้พระราชธิดาเลือก พระสังข์ทองในรูปเงาะป่า ก็ถูกเกณฑ์เข้ามาด้วย เมื่อนางรจนาออกมาเลือกคู่ บุญบันดาลให้เห็นรูปทองของพระสังข์ทองแทนที่จะเป็นเงาะป่า นางจึงเลือกเงาะป่า ท้าวสามนต์ก็กริ้วอีกจึงขับไล่นางรจนาออกไปอยู่นอกเมือง
ท้าวสามนต์แค้นเคืองเงาะป่าคิดจะกำจัดจึงออกคำสั่งให้เขยทั้งหกและเงาะป่าไปหาเนื้อมาคนละตัว ใครหามาไม่ได้จะถูกประหารชีวิต เงาะป่าเข้าไปในป่าถอดรูปเงาะออกแล้วร่ายมนต์เรียกเนื้อ เนื้อทั้งหลายก็มาอออยู่ที่พระสังข์ทอง หกเขยหาเนื้อทั้งวันก็ไม่ได้จนกระทั่งมาพบพระสังข์ทอง ซึ่งหกเขยคิดว่าเป็นเทวดา หกเขยขอเนื้อจากพระสังข์ทอง พระสังข์ทองให้โดยขอตัดใบหูคนละหน่อย หกเขยก็ยอม ทั้งหมดก็นำเนื้อไปให้ท้าวสามนต์
ท้าวสามนต์ร้ายเงาะป่าไม่ได้ก็แค้นใจจึงมีคำสั่งให้เขยทุกคนหาปลาไปถวาย พระสังข์ทองก็ถอดรูปเงาะป่าแล้วร่ายมนต์เรียกปลา ปลาก็มาออคับคั่งอยู่ที่พระสังข์ทอง หกเขยหาปลาไม่ได้ทั้งวันและเมื่อพบปลามาอออยู่ที่พระสังข์ทองก็กราบไหว้อ้อนวอนขอปลา พระสังข์ทองยกให้โดยขอตัดปลายจมูกหกเขยคนละหน่อย แล้วหกเขยกับเงาะป่านำปลาไปถวายท้าวสามนต์
ท้าวสามนต์แค้นใจที่ทำอันตรายเงาะป่าไม่ได้ก็เฝ้าคิดหาวิธีการอื่นที่จะกำจัดเงาะป่า จนพระอินทร์ต้องลงมาช่วยพระสังข์โดยยกทัพมาล้อมเมืองท้าวสามนต์แล้วท้าตีคลี
ท้าวสามนต์ตกใจแทบสิ้นสติจึงให้หกเขยและบรรดาเสนาอำมาตย์ช่วยกันหาผู้อาสาเหาะไปตีคลี แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะพระอินทร์ได้ ท้าวสามนต์จึงให้ป่าวประกาศว่าผู้ใดที่สามารถเหาะไปตีคลีกับพระอินทร์บนอากาศได้จะยกราชสมบัติให้ แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดมาอาสา นางมณฑาเทวีจึงแอบไปหานางรจนา และขอให้นางรจนาอ้อนวอนให้เงาะป่าช่วย เงาะป่าสงสารทั้งสองนางจึงรับปาก และในวันที่เจ็ดเงาะป่าก็ถอดรูปเป็นพระสังข์ทองใส่เกือกแก้วเหาะขึ้นไปตีคลีกับพระอินทร์จนชนะ พระอินทร์ก็กลับไปบนสวรรค์ ท้าวสามนต์ดีพระทัยมากได้ขอโทษพระสังข์ทองและยกราชสมบัติให้ตามสัญญา
ชื่อ ท้าวสามนต์ ในเรื่องสังข์ทอง ดร. รื่นฤทัย สัจจพันธุ์ ได้อธิบายที่มาของคำไว้ในหนังสือ สังข์ทองไว้ว่า แต่เดิมเคยใช้คำว่าท้าวสามล “แต่เดิมเคยใช้คำว่าท้าวสามล แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงคำเนื่องจากนักวิชาการวรรณคดีต่างหาความหมายของคำนี้ไม่ได้ เป็นเหตุผลหนึ่ง อีกเหตุผลหนึ่งเชื่อว่าน่าจะมาจากคำว่า “สามนตราช” ฉะนั้น “ท้าวสามนต์” จึงมาจากคำเต็มว่า “สามนตราช” (Feudalism) คือเจ้าผู้ครองแคว้นใกล้เคียง, เจ้าเมืองประเทศราชหรือเจ้าเมืองเอกประเทศราช เป็นเจ้าเมืองเล็ก ในจำนวนหลายร้อยเมืองที่มีพระมหาจักรพรรดิ (king of king) เป็นเจ้าประเทศราชเหล่านี้ ซึ่ง “สามนตราช” นี้ ก็มีปรากฏในเอกสารที่บันทึกไว้อย่างน้อย ๒ เล่ม คือ หนังสือกบฏไพร่ สมัยอยุธยา และหนังสือปฐมสมโพธิกถา พระนิพนธ์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส หรือทศชาติชาดก ในเรื่องพระเตมีย์ ”
สังข์ทอง เป็นบทละครนอก ๑ ใน ๕ เรื่องที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิสหล้านภาลัย ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้น และเป็นเรื่องเดียวที่ทรงพระราชนิพนธ์ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง โดยทรงแปลงมาจากสุวรรณสังข์ชาดก ใน ปัญญาสชาดก สังข์ทอง ถือเป็นวรรณคดีชั้นเยี่ยมเล่มหนึ่งของไทย ที่มีความดีเด่นในด้านเนื้อหาสนุกสนาน มีฉากเหตุการณ์ทั้งในมืองมมนุษย์ เมืองยักษ์ เมืองบาดาล มีตัวละครอันหลากหลายที่ผู้อ่านหลายยุคสมัยต่างชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็น มนุษย์ ยักษ์ พระอินทร์ หรือแม้แต่เงาะป่าบ้าใบ้
ท้าวสามนต์ เป็นตัวละครในเรื่องสังข์ทองที่มาปรากฏในช่วงกลางๆของเรื่อง เป็นตัวละครที่เชื่อมโยงให้ตัวเอกฝ่ายชายและตัวเอกฝ่ายหญิงก็คือเจ้าเงาะกับนางรจนามาพบกัน (บวกกับอำนาจของพระอินทร์) ท้าวสามนต์เป็นกษัตริย์ครองเมืองท้าวสามนต์ (เชื่อกันว่าเป็นเมืองที่มีอยู่จริง ภาคเหนือเชื่อว่าชื่อเมืองทุ่งยั้ง อยู่ในเขตุจังหวัดอุตรดิตถ์ ส่วนภาคใต้เชื่อกันว่าเป็นเมืองตะกั่วป่า) มีมเหสีชื่อ นางมณฑา มี ธิดา ๗ พระองค์ พระนามต่างกันไป ธิดาองค์สุดท้องชื่อ รจนา ซึ่งก็คือตัวเอกฝ่ายหญิงของเรื่องนั่นเอง ท้าวสามนต์คิดจะให้พระธิดาทั้ง ๗ องค์ได้อภิเษกสมรส จึงมีรับสั่งให้ประกาศแก่เจ้าผู้ครองนครต่าง ๆ ให้ส่งโอรสมาให้พระธิดาเลือก พระธิดาทั้ง ๖ องค์ก็เลือกได้เจ้าชายที่เหมาะสม แต่นางรจนาไม่ยอมเลือกเจ้าชายองค์ใด ท้าวสามนต์ทรงกริ้วมากจึงประชดโดยให้อำมาตย์ไปประกาศให้ชายทุกคนในเมืองให้เข้ามาในวังให้พระราชธิดาเลือก พระสังข์ทองในรูปเงาะป่า ก็ถูกเกณฑ์เข้ามาด้วย เมื่อนางรจนาออกมาเลือกคู่ บุญบันดาลให้เห็นรูปทองของพระสังข์ทองแทนที่จะเป็นเงาะป่า นางจึงเลือกเงาะป่า ท้าวสามนต์ก็กริ้วอีกจึงขับไล่นางรจนาออกไปอยู่นอกเมือง
ท้าวสามนต์แค้นเคืองเงาะป่าคิดจะกำจัดจึงออกคำสั่งให้เขยทั้งหกและเงาะป่าไปหาเนื้อมาคนละตัว ใครหามาไม่ได้จะถูกประหารชีวิต เงาะป่าเข้าไปในป่าถอดรูปเงาะออกแล้วร่ายมนต์เรียกเนื้อ เนื้อทั้งหลายก็มาอออยู่ที่พระสังข์ทอง หกเขยหาเนื้อทั้งวันก็ไม่ได้จนกระทั่งมาพบพระสังข์ทอง ซึ่งหกเขยคิดว่าเป็นเทวดา หกเขยขอเนื้อจากพระสังข์ทอง พระสังข์ทองให้โดยขอตัดใบหูคนละหน่อย หกเขยก็ยอม ทั้งหมดก็นำเนื้อไปให้ท้าวสามนต์
ท้าวสามนต์ร้ายเงาะป่าไม่ได้ก็แค้นใจจึงมีคำสั่งให้เขยทุกคนหาปลาไปถวาย พระสังข์ทองก็ถอดรูปเงาะป่าแล้วร่ายมนต์เรียกปลา ปลาก็มาออคับคั่งอยู่ที่พระสังข์ทอง หกเขยหาปลาไม่ได้ทั้งวันและเมื่อพบปลามาอออยู่ที่พระสังข์ทองก็กราบไหว้อ้อนวอนขอปลา พระสังข์ทองยกให้โดยขอตัดปลายจมูกหกเขยคนละหน่อย แล้วหกเขยกับเงาะป่านำปลาไปถวายท้าวสามนต์
ท้าวสามนต์แค้นใจที่ทำอันตรายเงาะป่าไม่ได้ก็เฝ้าคิดหาวิธีการอื่นที่จะกำจัดเงาะป่า จนพระอินทร์ต้องลงมาช่วยพระสังข์โดยยกทัพมาล้อมเมืองท้าวสามนต์แล้วท้าตีคลี
ท้าวสามนต์ตกใจแทบสิ้นสติจึงให้หกเขยและบรรดาเสนาอำมาตย์ช่วยกันหาผู้อาสาเหาะไปตีคลี แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะพระอินทร์ได้ ท้าวสามนต์จึงให้ป่าวประกาศว่าผู้ใดที่สามารถเหาะไปตีคลีกับพระอินทร์บนอากาศได้จะยกราชสมบัติให้ แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดมาอาสา นางมณฑาเทวีจึงแอบไปหานางรจนา และขอให้นางรจนาอ้อนวอนให้เงาะป่าช่วย เงาะป่าสงสารทั้งสองนางจึงรับปาก และในวันที่เจ็ดเงาะป่าก็ถอดรูปเป็นพระสังข์ทองใส่เกือกแก้วเหาะขึ้นไปตีคลีกับพระอินทร์จนชนะ พระอินทร์ก็กลับไปบนสวรรค์ ท้าวสามนต์ดีพระทัยมากได้ขอโทษพระสังข์ทองและยกราชสมบัติให้ตามสัญญา
ชื่อ ท้าวสามนต์ ในเรื่องสังข์ทอง ดร. รื่นฤทัย สัจจพันธุ์ ได้อธิบายที่มาของคำไว้ในหนังสือ สังข์ทองไว้ว่า แต่เดิมเคยใช้คำว่าท้าวสามล “แต่เดิมเคยใช้คำว่าท้าวสามล แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงคำเนื่องจากนักวิชาการวรรณคดีต่างหาความหมายของคำนี้ไม่ได้ เป็นเหตุผลหนึ่ง อีกเหตุผลหนึ่งเชื่อว่าน่าจะมาจากคำว่า “สามนตราช” ฉะนั้น “ท้าวสามนต์” จึงมาจากคำเต็มว่า “สามนตราช” (Feudalism) คือเจ้าผู้ครองแคว้นใกล้เคียง, เจ้าเมืองประเทศราชหรือเจ้าเมืองเอกประเทศราช เป็นเจ้าเมืองเล็ก ในจำนวนหลายร้อยเมืองที่มีพระมหาจักรพรรดิ (king of king) เป็นเจ้าประเทศราชเหล่านี้ ซึ่ง “สามนตราช” นี้ ก็มีปรากฏในเอกสารที่บันทึกไว้อย่างน้อย ๒ เล่ม คือ หนังสือกบฏไพร่ สมัยอยุธยา และหนังสือปฐมสมโพธิกถา พระนิพนธ์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส หรือทศชาติชาดก ในเรื่องพระเตมีย์ ”

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น